เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ต.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเราไง คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ นะ เวลาเราดิ้นรนกัน เราปากกัดตีนถีบกันเพื่อเลี้ยงชีพ การเลี้ยงชีพถ้าไม่มีอาหารตกถึงท้องนะ คนเราหิวจนตายก็ได้ คนขาดอาหารถึงกับเสียชีวิตได้

สิ่งที่ว่าเวลาปากกัดตีนถีบเพื่อเลี้ยงร่างกายๆ แต่มันก็มีการผูกพันไปถึงใจเหมือนกัน เพราะหัวใจ ปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ พอเกิดมาแล้วๆ เกิดมาจากผลบุญกุศล คำว่า “ผลบุญกุศล” ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์นะ มันเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ดูสิ เวลาสัตว์ วัวควายเขาจะเชือด เขาจูงไปเชือดโดยถูกต้องตามกฎหมายเลยล่ะ เวลาคน คนทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าคนทำอย่างนั้นไม่ได้ คนเราถึงมีสัตว์ประเสริฐๆ ไง ถ้ามันสัตว์ประเสริฐ

วันนี้วันพระๆ คนที่สำนึกถึงหัวใจของเราได้

ใช่ เราปากกัดตีนถีบนะ เพื่อเลี้ยงชีพ เพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นความทุกข์อันหนึ่ง มันก็เป็นความจริงอันนั้นน่ะ

แต่ถ้าธรรมะ ธรรมะมันหล่อเลี้ยงหัวใจของเราไง มันหล่อเลี้ยงหัวใจของเรา เห็นไหม ปากกัดตีนถีบ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งนะ เราก็มีอาการ ๓๒ เหมือนเขา เราก็มีสิทธิเท่ากับคนอื่น มันเป็นสิทธิ์ๆ ไง แต่หัวใจของเรามีคุณธรรมหรือไม่

ถ้าหัวใจเรามีคุณธรรมหรือไม่ มันเป็นสิทธิ์ๆ จะกินอิ่ม จะอดบ้าง อิ่มบ้าง ถ้าหัวใจมันเป็นธรรมๆ นะ มันยังภูมิใจกับชีวิตนะ ถ้ามันอิ่มบ้างอดบ้างถ้ามันเป็นธรรม ถ้ามันไม่เป็นธรรมนะ แม้แต่อาหารกองบนโต๊ะมหาศาลมันยังบ่นทุกข์บ่นยาก มันยังดีดดิ้นของมัน เห็นไหม

ฉะนั้น วันนี้วันพระๆ วันพระเราหวังบุญหวังกุศลของเราไง ถ้าวันพระหวังบุญหวังกุศลของเรา เห็นไหม ไม่ใช่วันพระแบบโลกๆ เขานะ นักเลงไง เขาบอกวันพระไม่ได้มีหนเดียวนะ วันพระไม่ได้มีหนเดียวคือจะแก้แค้น จะเอาคืนเขาไง นั่นวันพระไม่ได้มีหนเดียว แต่ของเราไม่ใช่

วันพระ วันโกนของเรา เราเพื่อแสวงหาบุญกุศลของเรา เราไม่ไปแก้แค้นใคร เราไม่ทำลายใคร เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นลูกศิษย์หลวงตาไง

หลวงตาท่านสอนนะ ใครจะดี ใครจะชั่ว มันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ ใครจะดี ใครจะชั่ว เขาแสวงหา เขากว้านเวรกว้านกรรมของเขาเอง แล้วเวรกรรมนั่นน่ะมันต้องให้ผลเขาแน่นอน มันช้าหรือเร็วเท่านั้น แล้วเขาทำเวรทำกรรมไว้กับใคร เห็นไหม

ถ้าใครจะดีใครจะเลวมันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ

ถ้าเราจะทำคุณงามความดี เราจะไปแก้แค้นใคร เราจะไปอาฆาตมาดร้ายใคร แต่มันมีเวรมีกรรมของมันน่ะ มันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันน่ะ ถ้ามันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา เราไม่ให้คนอย่างนั้นเขาเข้ามาทำลาย ทำลายความสามัคคีในศาลา เราไม่ให้คนอย่างนั้นเข้ามาตอกลิ่มทำลายความสามัคคีของพระ ทำลายความสามัคคีของชาวพุทธ

ชาวพุทธเขาให้อภัยกัน เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เขาทำคุณประโยชน์ต่อกัน

ต้นน้ำ ถ้าต้นน้ำ เริ่มต้นจากต้นน้ำ ตาน้ำ น้ำมันใสสะอาดมาก พอน้ำใสสะอาดมันผ่านมา ผ่านมาเขาใช้การเกษตรกรรม เขาใช้การกสิกรรม เขาใช้ดื่มใช้กิน เขาใช้การอุตสาหกรรม มันมีสารปนเปื้อนมาตลอดเลย

ความคิดของเรานะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ หมองไปด้วยอุปกิเลสไง เวลามันผ่องใส ผ่องใสในหัวใจของเรา แต่เพราะอุปกิเลสของเรา เพราะไม่ได้ฝึกไม่ได้ฝน เราไม่ได้ฝึกหัดของเรา มันซับมันซ้อนของมัน มันซับมันซ้อนของมัน มันเอาแต่สารพิษเข้าไปในหัวใจของตนไง

วันนี้วันพระ วันโกน เรามาวัดมาวาขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา เราเสียสละทานของเรา เสียสละทานเพื่ออะไร เสียสละทานเพื่อเรา เห็นไหม

เราเกิดมาเราเป็นคน เรามีสติมีปัญญาของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา ปากกัดตีนถีบมาเพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพมันก็เลี้ยงชีพมาได้อย่างนี้ แล้วเราทำบุญกุศลของเราเพื่อบุญเพื่อกุศล เพื่อโอกาสของเราไง เพื่อหัวใจของเรา

เรายังมีโอกาสที่ได้เป็นผู้ให้ เรายังมีโอกาสเข้าไปในวัดในวา คบบัณฑิตๆ ไง บัณฑิตเป็นผู้ที่เห็นคุณงามความดีไง ไม่ใช่นักเลงไง “วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะ กูจะรอเอาคืนๆ” ไม่ใช่

เราให้อภัยเขาไป สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย เวลามันกระดิกไปตลอดเวลา เข็มนาฬิกามันกระดิกไปตลอด ทุกคนวันเวลามันเท่ากัน ทุกอย่างเท่ากันเลย แต่เด็ก เด็กเวลามันมีความสดชื่น มันมีความสนุกครึกครื้นของมัน ไอ้ของเรา ถ้าเราทำหน้าที่การงานของเรา ถ้ามันประสบความสำเร็จมันก็มีความสุข ความพอใจของเรา ถ้าเราทำสิ่งใดแล้วมันขาดตกบกพร่อง ทำสิ่งใดแล้วความทุกข์นะ นาฬิกามันช้าเหลือเกินนะ สุดท้ายแล้วเวลามันช้าหรือเร็วล่ะ มันก็เท่าเก่านั่นแหละ

มืด–สว่าง สว่าง–มืด อยู่อย่างนี้ คนเราถึงชีวิตแล้ว ชีวิตนี้ต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาพลัดพรากถึงที่สุด เวลาเรายังแข็งแรงอยู่ เรายังลุกได้เดินได้ เรายังไม่เห็นคุณประโยชน์ของมันเลย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานะ จะให้คนมาคอยป้อน นอนกินน่ะ ไอ้พวกนอนกินนั่นน่ะมันมีความสุข

มันมีความสุขที่ไหน มันอึดอัดขัดข้อง มันกดดันตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่มันเป็นไปไม่ได้ ถึงเวลาแล้วทุกคนก็ต้องเจอหมดน่ะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดนะ มันต้องชราคร่ำคร่าไป แต่ด้วยอำนาจวาสนาของเรานะ เรามีสติปัญญาของเรา เราบริหารร่างกายของเรา เรายังลุกเดินลุกนั่งของเรา เราไม่ปล่อยให้ร่างกายมันกดทับจนมันพิกลพิการไป

ถ้าหัวใจของเรา วันพระ วันโกน เราไปวัดไปวาขึ้นมาเพื่อบุญกุศล ถ้าเป็นบุญกุศล บุญกุศลของใคร บุญกุศลของจิตผู้ที่มาเกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ มันยังเกิดมามีอำนาจวาสนา มันได้สร้างบุญกุศลของมัน มันได้สร้างเป็นจริตเป็นนิสัยของมันไง

เวลาคนที่อยากมีสติปัญญามาก คนที่มีสติปัญญามาก นั่งสมาธินี่แหละคนจะมีสติปัญญาของมัน สติปัญญามันเกิดจากการนั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิแล้วมันต้องแก้ไข แก้ไขอารมณ์ของตนไง แก้ไขความทุกข์ความร้อนในใจของตนไง การแก้ไข แก้ไขที่เกิดเลย แก้ไขที่จิต เห็นไหม

นี่เหมือนกัน ถ้าในบ้านเรามันมีความสามัคคี ในบ้านเรามีความสุข มีความรื่นเริง เราจะออกไปทำงานที่ไหนมันก็สะดวกสบาย ในบ้านของเรา ออกจากบ้านมาก็เครียด ไปทำงานไปเจอผลกระทบแล้วยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ เสร็จจากงานต้องกลับบ้าน ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่

นี่ไง เวลาคิดอยู่ในใจมันก็สุมไฟ ออกไปข้างนอกมันก็จะไปเจอคนเป่าหู มันทุกข์ไปหมดน่ะ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราทำบุญกุศลของเรานี่ไง เราทำบุญทำกุศลของเรา พอทำบุญของเรา เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้โต้งๆ ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เลย

ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง

เห็นไหม ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาเป็นคนๆ ที่ว่าเรามีความสุขๆ อยู่ ความสุขเพราะเราพอใจอารมณ์ของเราไง ได้เสพสิ่งใดเป็นอามิสๆ คำว่า “อามิส” นะ ใครอยากได้อะไร ใครปรารถนาอะไรแล้วสมความปรารถนา โอ๋ย! มีความสุข ฉลองๆ ต้องมีการฉลอง...ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

แต่พอเราพอใจมัน นี่เป็นหน้าที่ คนที่ดีเขาต้องมีหน้าที่การรับผิดชอบ แล้วหน้าที่ที่สำคัญที่สุด เราดูแลหัวใจของเรา หัวใจของเราใครจะดูแล

เวลาหลวงตาท่านสอนให้ดูจิต ดูจิตของตน รักษาจิต รักษาหัวใจของตน

รักษาจิต รักษาหัวใจของตน เอาอะไรรักษา

สติ หมั่นฝึกหัดๆ เวลามีสติขึ้นมา สติเท่าทันอารมณ์ของตน โอ้โฮ! มีความสุข เช้าขึ้นมาอากาศดี พอกลางวันอากาศร้อน พอตกเย็นโพล้เพล้ขึ้นมามันจะค่ำมืดแล้ว นี่ก็เหมือนกัน หัวใจถ้ามันดีอยู่ เรารักษาหัวใจตรงนี้ไง ถ้ารักษา เห็นไหม

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว แต่มันเป็นสัจจะเป็นความจริงไง นี่เป็นธรรมชาติๆ วัฏฏะเป็นธรรมชาติ การเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมชาติ เพรามันมีแรงขับ แรงขับคือกรรมไง กรรมดีกรรมชั่ว กรรมมันไม่จบไม่สูญสิ้นไป เพราะเราได้ทำของเรามา ชาตินี้ทั้งชาติเราได้ทำอะไรบ้าง แล้วทั้งชาตินี้เราทำมาแล้วมันสะสมลงไปที่หัวใจของเรา แล้วมันก็ขับดันให้หัวใจนี้มันไปต่อเนื่องไป

แล้วเวลาบอกว่า อ้าว! เกิดชาติเดียว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คนเกิดมาเป็นพี่เป็นน้องกันน่ะมันมาขัดมาแย้งกันทำไม คนเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน ทำไมความรู้สึกนึกคิดมันไม่เหมือนกัน พ่อแม่คนเดียวกัน โอบอุ้มมาจากมือของตนทั้งนั้นน่ะ นี่ไง มันมาจากไหนล่ะ

นี่ไง สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสร้างเวรสร้างกรรมกันมานี่ เวรกรรมอันนั้นมันปฏิสนธิจิต อันนั้นมันอยู่ในหัวใจนั้น มันเป็นจริตเป็นนิสัย ถ้าจริตนิสัยขึ้นมาแล้ว เกิดเป็นคนขึ้นมาแล้วก็ยังมีโอกาสไง

พอเกิดเป็นคนขึ้นมา เกิดเป็นคนแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนาสอนถึงนี่ไง สอนถึงการขัดเกลา สอนถึงการประพฤติปฏิบัติ สอนถึงการเห็นโทษของตนไง

ทุกคนเก่งกล้า ทุกคนยอดเยี่ยม ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้ได้สิ เก่งนัก มีสติเท่าทันอารมณ์ของตนสิ ถ้ามีสติเท่าทันนั่นคนเก่ง เก่งคือการเอาชนะความรู้สึกนึกคิดของตน

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

จิตที่มันทุกข์มันยากที่เป็นสารพิษ ที่มันใช้แล้วมันเจือปนด้วยสิ่งสกปรกโสโครกนั่นน่ะ มันก็มาจากเราทั้งสิ้น แล้วถ้าเรามันมีสติปัญญาเข้าไป ทำความสงบของใจเข้าเท่านั้นแหละ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ลองจิตมันสงบระงับนะ มันมหัศจรรย์นะ

เราไปหานะ ไปหาเพชรนิลจินดา เราไปหายศถาบรรดาศักดิ์ ชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ บ๊ายบาย มันต้องพลัดพรากจากกันแน่นอน ต้องพลัดพรากจากกันแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น

แต่เวลาเราไปพบหัวใจของเรา เห็นไหม จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วเราไปเจอจิตของเราที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันเก่าแก่ไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลส จิตนี้มันต้องจุตูปปาตญาณ อนาคตมันต้องเกิดของมันไป แล้วเราเข้าไปถึงจิตของเราที่มันทนทาน ที่มันยอดเยี่ยม ที่มันหมุนไปตามเวรตามกรรม เราเข้าไปตรงนั้นน่ะ

ถ้าเข้าไปตรงนั้นเพราะอะไร เพราะสัมมาสมาธิมันนิ่งไง มันหยุดของมันไง มันไม่มีสิ่งใด เห็นไหม

ตาชั่ง เขาบอกว่าอุเบกขานี้เป็นนิพพาน

ไม่ใช่ นี่ไง พอมันเข้าไปสู่ความเสมอต้นความเสมอปลาย แต่มันก็ได้เวลามีสติสัมปชัญญะเท่านั้นแหละ เข้าไปถึงตรงนั้นน่ะมหัศจรรย์ไง

นี่ไง แก้วแหวนเงินทองที่แสวงหามันเป็นวัตถุ ยศถาบรรดาศักดิ์ โลกธรรม ๘ จิตของเราๆ จิตของเราที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเข้ามา สอนเข้ามาให้เรา วันนี้วันพระ เราหมั่นขวนขวาย เราหมั่นการกระทำ

ต้นน้ำ ความคิดเริ่มต้น ความคิดครั้งแรก ขอให้มันทำคุณงามความดีของมัน ใครจะติฉินนินทาว่ามึงโง่ ของหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง เที่ยวไปอิสระ กูน่ะฉลาด ฉลาดเพราะกูมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ กูเชื่อพระพุทธเจ้าของกู พระพุทธเจ้าสอนให้เสียสละทาน พระพุทธเจ้าสอนให้เสียสละเพื่อความสงบระงับในครอบครัว ในสังคม ในหัวใจของเรา

เราเป็นผู้ให้เขา มันไม่มีต้นไม้พิษเบียดเบียนหัวใจ ตระหนี่ถี่เหนียวว่าของกูๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้สอย แล้วก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลย แล้วมันก็ของกูๆ จนเน่าจนเสีย จนเราต้องพลัดพรากจากกันไป เรามีวัตถุแล้วเราไม่ได้สร้างประโยชน์เลย กิเลสมันหลอกไง

กูฉลาด กูมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ กูพยายามศึกษาของกูไง แล้วถ้ามีมากมีน้อยไม่สำคัญ สำคัญตอนเจตนา ตอนน้ำใจนี่แหละ

ไปวัดไปวานะ ภาษาเราเลยนะ เล็กๆ น้อยๆ แต่เราไปเพื่อหัวใจของเรา เจตนาของเราเพื่อผ่อนคลายในใจของเรา ไม่ต้องไปแข่งขันกับใครทั้งสิ้น แข่งขันกับจิตของตนเท่านั้น จิตของตนนะ เราเป็นผู้ให้ไง ฝึกฝนมันไง ฝึกฝนให้มันดีขึ้นมา

วันพระให้หมั่นเพียร เราบวชมาตั้งแต่แรกมันฝังใจ วันพระเนสัชชิกตลอด ปกติมันก็ไม่นอนอยู่แล้ว ปกตินะ วันโกน วันพระเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องดื่มน้ำ เป็นเรื่องการเคลื่อนไหวธรรมดา วันพระ วันพระไม่นอน ถือเนสัชชิกเลย มันเคยทำมาอย่างนั้นไง

วันพระ วันโกนมันเป็นวันโอกาส มันให้กำลังใจตัวเองได้ วันธรรมดามันยังขี้เกียจ วันธรรมดามันยังทำแล้วไม่ได้ผลไง วันนี้วันพระนะ ถวายพระพุทธเจ้า ถวายพระธรรม ถวายพระอริยเจ้า พระสงฆ์ของเรา เดินจงกรมทั้งคืนเลย ถวายองค์นั้น ถวายองค์นี้ มันเป็นแรงจูงใจให้เรามีการกระทำไง

เราอยู่ป่าอยู่เขามา เรื่องอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราก็เป็นคนเหมือนโยมนี่แหละ แล้วกว่าจะออกมาบวชนี่ โอ้โฮ! แบกโลกทั้งโลกเลยล่ะ แล้วพอบวชเข้าไปแล้วนะ มันทับสองโลก ทั้งโลกมนุษย์ ทั้งโลกพระ ทับไปสองข้าง เกือบเป็นเกือบตาย มันก็ขวนขวายมานี่ไง ขวนขวายมา มีการกระทำมา ผ่อนคลายมา ทำมาให้เห็นคุณค่า

วันพระ วันโกนน่ะ คือให้มันเป็นประเด็นให้ชีวิตเรามีคุณค่า ให้เป็นประโยชน์กับเราไง

วันพระ วันโกน ไม่ใช่ว่า เออ! วันพระมีครั้งเดียวนะ เดี๋ยวกูจะเอาคืน...ไม่ใช่

ไม่สร้างเวรสร้างกรรม วันพระเป็นวันให้อภัย เป็นวันเพื่อให้หัวใจเราเบิกบาน เป็นการกระทำเพื่อคุณประโยชน์ในหัวใจนี้ รักษาหัวใจของเรา รักษาจิตดวงนี้ให้มีคุณค่า ให้เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของเรา เอวัง